global warming

stop_global_warming_by_thebae[1]

ผมคิดว่าท่านผู้อ่านคงจะเคยได้ยินคำนี้กันมาบ้าง

ในช่วงที่ผ่านมา ประเทศไทยของเราก็ได้ตื่นตระหนกกับคำนี้เหลือเกิน

เริ่มจากองค์กรธุรกิจ ลามมาจนถึงองค์กรของรัฐ จนถึงระดับภูมิภาค

ทุกคนต่างออกมาช่วยกันรณรงค์เพื่อแก้ปัญหาโลกร้อน

แม้แต่คณะของผมเอง ก็ยังเคยจัดซีรี่ย์รณรงค์เรื่องโลกร้อนขึ้น

แต่….ไม่รู้เหมือนกันครับ ผมกลับเฉยๆกับเรื่องนี้

จะเรียกว่าไม่อินก็คงได้

สาเหตุเพราะผมมีคำถามอยู่ในใจมากมายหลายอย่าง ที่ผมตอบไม่ได้

โดยเฉพาะข่าวนี้!

นายเสิด แ่ท่นมาก อายุ 64 ปี ชาวตำบลนาหมื่นศรี ผู้มีสวนยางมรดกติดกับเทือกเขาบรรทัด ถูกพิพากษาให้ชดใช้ค่าเสียหายทางคดีแพ่งตามที่กรมอุทยานฯฟ้องร้องทั้งสิ้น 1.8 ล้านบาท

อ่านทีแรกผมเข้าใจว่าคุณลุงเสิดคงจะไปปล้นร้านทองทั้งจังหวัด

แต่เปล่าเลยครับ ตัวเลขนี้มาจากสูตรการคำนวณโลกร้อนที่กรมอุทยานฯคิดค้นขึ้น

ผมเลยมีคำถามว่า ถ้ากรมอุทยานฯไล่ฟ้องชาวบ้านแบบนี้ทั่วประเทศ มันจะทำให้โลกเย็นขึ้นหรือไม่

หรือจะช่วยอะไรเรื่องโลกร้อนได้บ้าง!

ในขณะที่ชาวบ้านถูกฟ้องร้องจนทำมาหากินไม่ได้ หรือ พูดให้สวยว่า ในขณะที่ชาวบ้านตกเป็นจำเลยเรื่องโลกร้อน ลองมาดูชาวเมืองอย่างเราสิครับ

เราจัดกิจกรรมลดโลกร้อนขึ้น จัดให้มีการปลูกป่า ซึ่ง แม่ง ก็ปลูกต้นไม้นั่นแหละ

การช่วยโลกที่คนเมืองอย่างเราๆภูมิใจกันนักหนาก็คือการหยิบกล้าไม้ไปปักๆไว้ที่ไหนก็ได้ แล้วก็เรียกมันว่า การปลูกป่าลดโลกร้อน

นอกจากนั้นโรงงานอุตสาหกรรมอีกเป็นแสนในเมืองล่ะครับ พวกนี้หรือเปล่าต้นตอของปัญหา

ผมเลยสงสัยว่า ทำไมเราไม่รณรงค์ลดโลกร้อนด้วยการปิดโรงงานกันมั่ง(วะ)

20090903-143246-[1]

หรือแฟชั่นถุงผ้าที่กำลังระบาด ส่งผลให้อุตสาหกรรมผ้าดิบรวยเอาๆ มันช่วยอะไรหรือครับ

มันช่วยให้เจ้าของโรงงานรวยขึ้น

มันช่วยให้คนเมืองหลอกตัวเองไปวันๆ

โอ้โห กูถือถุงผ้า กูเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยลกดโลกร้อน

เหมาเอาเสร็จเลยว่าตัวเองมีบุญคุณต่อโลก ขี้ตู่ชิบหาย

จริงๆมันก็แค่ คนพวกหนึ่งมีความเป็นอยู่สุขสบาย แต่รู้สึกกระดากเพราะตัวเองสบายไป เลยต้องหาอะไรทำให้รู้ว่า เออนะ กูก็ลำบากเหมือนพวกมึง

ก็เลยถือถุงผ้า เพราะถุงผ้ามันดูชนบท บ้านนอก เห็นมั้ยล่ะ กูก็ติดดินนะ……ผมรักพวกมันทุกคนเลยครับ

แล้วถามหน่อยเถอะ ว่าที่พวกมึงๆทำกันน่ะ โลกมันหายร้อนมั้ย

ผมมองว่า global warming มันเป็นแค่แคมเปญของภาคธุรกิจเท่านั้นเอง

การชิงพื้นที่การตลาดด้วยการออกมาบอกว่า ช่วยซื้อของกู เท่ากับ ช่วยโลก

แปลว่า หนึ่งบริษัทกูมีธรรมาภิบาล คำนึงถึงสังคมตลอดเวลา สอง บริษัทกูมีวิสัยทัศน์ มองเห็นปัญหาในอนาคต สาม บริษัทกูเป็น leaddership ในการทำให้คนหันมาสนใจสิ่งแวดล้อม

เห็นมั้ยครับ จั่วไพ่ใบเดียว ป๊อกสามเด้ง

ด้วยเหตุนี้ ผมถึงเฉยๆกับไอ้คำว่าโลกร้อนมาก ไม่เคยกลัวเลยด้วยซ้ำ

แต่ผมกลัวอยู่อย่างหนึ่ง

2sci[1]

ผมกลัวว่าไอ้คำว่าโลกร้อน มันจะทำให้หัวใจคนแห้งแล้งขึ้น

คิดแต่จะมาร์เก็ตติ้งตัวเองโดยการเหยียบหัวคนอื่น

นี่แหละสาเหตุของโลกร้อนที่แท้จริง

โลกมันร้อนเพราะหัวใจคนมันแห้งแล้งนี่แหละครับ

แบ่งฝักแบ่งฝ่าย ไอ้นี่ไม่ชอบไอ้นู่น ไอ้นู่นเกลียดไอ้นี่

คนมีอำนาจก็กลัวว่ามีอำนาจแล้วไม่ใช้ จะเสียชาติเกิด เลยต้องใช้มันตะบี้ตะบัน

ผมขอวิงวอนให้เรามาช่วยลดโลกร้อนกันได้มั้ยครับ

ลดโดยการ ทำหัวใจเราให้ชุ่มชื้น

ลดอคติลงบ้าง เกลียดกันให้น้อยลง รักกันให้มากขึ้น

ไม่ชอบใครก็พยายามชอบ เกลียดใครก็พยายามรักมัน

ผมว่าเราช่วยกันคนละนิดคนละหน่อย ลองดูก็ได้ แค่อาทิตย์เดียว

เราจะรู้สึกโลกเย็นอย่างเห็นได้ชัด

3 Responses to global warming

  1. Madsatan_Nui พูดว่า:

    แบงค์กูรักมึงหวะเพื่อน หุหุ

  2. little-tum พูดว่า:

    ผมมองว่า “ไอ้เรื่องโลกจะร้อน หรือไม่ร้อนนั้น มันขึ้นอยู่กับสำนึกในการใช้ชีวิตของคนมากกว่า” ซึ่งเมื่อเทียบให้เห็นว่ามีการรณรงค์ ทำอย่างโน้นอย่างนี้ มันเป็นค่านิยมมากกว่า หรือจะพูดว่าถ้าไม่อยากเชยให้รณรงค์เรื่องโลกร้อน เพราะมันกำลังฮิต
    อันที่จริงผมก็ชอบนะที่แบงค์บอกว่า “ทำหัวใจเราให้ชุ่มชื้น” ผมเองก็คิดว่านะจะช่วยได้เยอะ
    ตอนนี้นะ ผมมีความคิดเห็นที่ขัดแย้งกับเพื่อนร่วมงานอยู่เรื่อง คือ ปิดไฟ ปิดคอมฯ ปิดแอร์ ตอนพักเที่ยง มันก็โอนะถ้ามองในเรื่องลดการใช้ไฟฟ้าหนึ่งชั่วโมง แต่ลองคิดต่อซิครับ หลอดไฟปิดเปิดได้ทันที ต่อมาคอมฯ Shut down พอมาเปิดใหม่กว่ามันจะ Boot เครื่อง ให้เวลาพอสัมควร ซึ่งหากไม่ปิดนะมันก็มี save mode อยู่แล้ว กลับมาจากทานข้าวไม่ต้องรอให้เครื่อง Boot ใหม่เสียงเวลา หรือริบทานข้าวแล้วมานั่งทำงาน ซึ่งเมื่อเทียบว่าเปิดเครื่องแล้วเล่นเกมในเวลางาน ผมว่าเปลืองกว่าอีก และอีกเรื่องที่จะบอกว่าผมมีความคิดเห็นขัดแย้งอย่างมาก คือ เรื่อง แอร์ (ไม่ใช่แอร์โฮสเตสนะ) ชื่อภาษาไทยมันบอกว่า เครื่องปรับอากาศ ด้วยความเป็นจริงสภาวะภูมิอากาศของประเทศไทย เป็นเมืองร้อน แน่นอนว่า แอร์ในเมืองไทยมันต้องเป็นเครื่องทำความเย็น แต่เพื่อนร่วมงานผม ในฤดูหนาวอุณหภูมิ 19-23 องศา แต่เปิดแอร์ 25 องศา ทำเหมือนมันเป็น ฮิทเตร์ ในต่างประเทศ อันที่จริงควรปิดนะถึงจะถูก และอีกเหมือนกัน ในช่วงที่ผ่านพ้นจากฤดูหนาว รัฐบางรณรงค์ให้เปิดแอร์ 25 องศา เพื่อประหยัดไฟฟ้า แน่นอนว่าประหยัดถ้าเป็นลักษณะอาคารที่เป็น ตึก หรือ ถูกสร้างให้มีฉนวนกันความร้อนอย่างดี แต่ที่ Office ผมมันเป็นแบบชั้นเดียวหลังคารับแสงแดดเต็มๆ ปิดแอร์ 25 องศา มันสามารถปรับอุณหภูมิของห้องให้ลดลงได้ เพียง3-5 องศา จากอุณหภูมิห้องที่ถูกแดดเผา จริงประมาณ 35 องศา มันทำให้แอร์ทำงานหนักตลอดเวลา คือ พ่นไอเย็น 25 องศาเท่านั้น แต่หากปรับไว้ที่อุณหภูมิต่ำหน่อย เมื่อความเย็นเหมาะสม คอมเพรสเซอร์ก็จะตัด แน่นอนว่า มันก็ประหยัดเหมือนกัน เมื่อเทียบกับเครื่องที่ทำงานตลอดเวลา และก็อีกคือ ปิดแอร์เมื่อพักกลางวัน เมื่อกลับมา ลองคิดซิว่า อุณหภูมิในห้องจะต้องเพิ่มสูงขึ้น เมื่อแอร์เริ่มสตาร์ทใหม่ ต้องทำงานหนักกินไฟมาก แต่เปลี่ยนเป็นไม่ปิด แล้วรีบกลับมาทำงาน ผมว่าน่าจะประหยัดกว่านะ
    จะว่าไปเรื่องบางอย่าง เรื่องบางเรื่อง คนเราก็ไม่ได้เข้าใจถึงหลักการทำงานของเครื่องอำนวยควาสะดวกเท่าไรนัก แต่อย่างน้อยก็ต้องชื่นชมในการที่จะช่วยลดโลกร้อน

  3. koonnoo พูดว่า:

    “ผมเลยสงสัยว่า ทำไมเราไม่รณรงค์ลดโลกร้อนด้วยการปิดโรงงานกันมั่ง(วะ)”

    เป็นคำพูดประชดประชันใช่มั้ยคะ …. คงไม่ได้หมายความตามนั้นจริงๆใช่มั้ยคะ…^^
    จะถือถุงพลาสติก หรือ ถุงผ้า จริงอยู่ว่าก็เป็นโรงงานอุตสาหกรรมผลิตทั้งนั้น
    แต่……… ถุงผ้าก็ช่วยลดปริมาณขยะได้จิงๆค่ะ แม้จะเพียงน้อยนิด…แต่นั้นคืออย่างน้อย “ได้ช่วยลดปริมาณขยะก็ยังดี”

    ส่วนโรงงานอุตสหกรรมก็มีกฏหมายควบคุมอยู่ โรงงานไหนละเมิด ก็อยากให้ลงโทษจริงๆ และแก้ไขให้ถูกต้อง

    global warming มันเป็นแค่แคมเปญของภาคธุรกิจเท่านั้นเอง จริงๆๆค่ะ
    แต่อย่างน้อย ได้ออกมาทำแคมเปญที่ออกมาให้ผู้คนได้รับรู้ถึงเรื่องภาวะโลกร้อนสักนิดก็ยังดี อย่างห้างสรรพสินค้าออกแคมเปญให้ใช้ถุงผ้าแทนถุงกระดาษของเค้า ก็ยังดีนะคะ เรายังใช้อยู่เลยเป็นปีๆแล้ว ปกติเดือนๆหนึ่งคงจะได้ถุงกระดาษจากห้างประมาณ10 ใบขึ้นไปค่ะ X12 เดือน ก็เยอะอยู่ใช่มั้ยค่ะ……….

    ผมกลัวว่าไอ้คำว่าโลกร้อน มันจะทำให้หัวใจคนแห้งแล้งขึ้น

    คิดแต่จะมาร์เก็ตติ้งตัวเองโดยการเหยียบหัวคนอื่น

    นี่แหละสาเหตุของโลกร้อนที่แท้จริง

    โลกมันร้อนเพราะหัวใจคนมันแห้งแล้งนี่แหละครับ

    แบ่งฝักแบ่งฝ่าย ไอ้นี่ไม่ชอบไอ้นู่น ไอ้นู่นเกลียดไอ้นี่

    คนมีอำนาจก็กลัวว่ามีอำนาจแล้วไม่ใช้ จะเสียชาติเกิด เลยต้องใช้มันตะบี้ตะบัน

    ผมขอวิงวอนให้เรามาช่วยลดโลกร้อนกันได้มั้ยครับ

    ลดโดยการ ทำหัวใจเราให้ชุ่มชื้น

    ลดอคติลงบ้าง เกลียดกันให้น้อยลง รักกันให้มากขึ้น

    ไม่ชอบใครก็พยายามชอบ เกลียดใครก็พยายามรักมัน

    ผมว่าเราช่วยกันคนละนิดคนละหน่อย ลองดูก็ได้ แค่อาทิตย์เดียว

    เราจะรู้สึกโลกเย็นอย่างเห็นได้ชัด

    **** ชอบความคิดนี้นะคะ ^^

ส่งความเห็นที่ Madsatan_Nui ยกเลิกการตอบ